ผมชอบดูสารคดีครับ และสารคดีที่ชอบมากเป็นพิเศษคือ อวกาศ ดวงดาว และจักรวาล ทุกครั้งที่ดูก็รู้สึกสงสัย ว่าทำไมเป็นอย่างนั้น ทำไมเป็นอย่างนี้ เป็นต้นว่า จักรวาลกว้างแค่ไหน ดาวอื่นๆจะมีสิ่งมีชีวิตหรือไม่ แล้วใครเป็นคนสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา ดูแล้วล้วนแต่มีข้อสงสัยขึ้นมามากมาย และที่น่าเสียใจที่สุดคือ คำถามเหล่านั้น ไม่มีคำตอบสำหรับเรา
ทุกคนทราบดีว่า การที่เราจะเดินทางไปยังดวงดาวอื่น หรือ กาแลคซี่อื่นๆ จะต้องใช้เวลาเนิ่นนานเป็นปีแสง (แสงเดินทางเป็นปีๆ) แล้วหากเราเดินทางด้วยยานอวกาศ แน่นอนว่าเราคงตายก่อนจะไปถึงไหน สำหรับตอนนี้เรื่องแบบนี้เป็นแค่เรื่องเพ้อฝันเท่านั้น เราไม่รู้หรอกว่าอนาคตมนุษย์เราจะพัฒนาไปแค่ไหน แต่คงไม่ใช่ในยุคที่เรายังมีชีวิตอยู่แน่นอน
คิดแล้วก็อดอิจฉาคนในยุคอนาคตไม่ได้ เพราะเค้าคงได้รู้คำตอบที่เราตั้งไว้ในวันนี้ ในขณะที่เราคงตายไปแล้ว คิดแบบนี้แล้ว ผมอยากมีชีวิตที่อมตะเหลือเกิน (เพ้อเจ้อ) มันจะดีไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ ทุกคนเกิดมาแล้ว มีชีวิตอยู่ชั่วระยะเวลานึงเท่านั้น แล้วก็ตายจากไป มันคือสัจธรรมของโลกนี้ เช่นกันกับที่พระพุทธเจ้าได้กล่าวไว้ว่า "โลกคือสนามทดสอบแรงกรรม" การที่เกิดแค่ชาติเดียว คงไม่มีทางเข้าใจในเรื่องกฏแห่งกรรมและการให้ผลของกรรม เช่นเดียวกับที่เราเกิดมาชาติเดียว ยากที่จะรู้เราเข้าใจทุกอย่างในโลกทั้งหมดได้
เรามีร่างกาย ที่พระพุทธเจ้าถือว่าเป็นภาระหนักของชีวิต วันๆนึงเราเสียเวลาไปกับการประคบประหมสังขารนี้มากมาย หิวต้องกิน หนาวต้องห่มผ้า ฯลฯ สารพัดมากมาย และการจะทำอะไรๆก็ต้องอาศัยร่างกายที่ผาสุก ไม่เจ็บป่วย จึงจะทำกิจเหล่านั้นได้สำเร็จ การที่เรามีสังขารนี้ จึงถือเป็นภาระหนักจริงเพียงแต่เราคิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาเพราะเราต้องเจอทุกวันจนชิน
กลับมาเรื่องเดิม การที่เราจะเดินทางไปยังที่ต่างๆให้รวดเร็ว หรือศึกษาสิ่งที่อยากรู้ให้ได้หมดในช่วงที่มีชีวิตอยู่นั้น เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะมันต้องใช้เวลา และมนุษย์เราก็มีอายุขัยไม่มากพอที่จะทำได้ เป็นต้นว่าจะเดินทางไปยังอีกจักรวาลหนึ่ง หรือไปดวงดาวหนึ่งนั้น เป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า "ถ้าจะไปให้สุดโลก เราจะต้องไปด้วยจิต" จิตนี้ละเอียดยิ่งนัก มีปกติปรับเปลี่ยนได้รวดเร็ว เราสามารถคิดสิ่งหนึ่งและคิดอีกสิ่งหนึ่งได้ทันที ยากที่จะควบคุม ใครควบคุมจิตได้นับว่าเลิศ
การควบคุมร่างกายและจิตใจได้ หรือแยกจิตกับร่างกายได้นั้น เป็นคุณสมบัติของพระอริยเจ้า เช่น พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ทั้งหลาย ท่านเหล่านี้คือผู้หลุดพ้นจากกิเลสเครื่องบังตา ทำให้ท่านรู้สิ่งต่างๆในโลกนี้ได้อย่างถูกต้อง หมดความสงสัยในชีวิตอย่างสิ้นเชิง มีคนมากมายไม่เชื่อว่าพระพุทธเจ้าทรงรู้ทุกๆอย่าง และพุทธเจ้าเองก็ไม่ทรงตรัสในสิ่งที่ไร้ประโยชน์ พระองค์ตรัสแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์กับผู้ฟังเท่านั้น พระองค์รู้ดียิ่งนักในเรื่อง "ชีวิตและจิตใจ" สิ่งอื่นนอกเหนือไป ถึงแม้พระองค์ทรงทราบ พระองค์ก็ไม่ทราบตรัสออกไป เพราะรู้ดีว่าไม่มีใครเชื่อ
พระอรหันต์ทั้งหลายล้วนมีคุณสมบัติที่เหมือนกันคือ เป็นผู้พ้นจากกิเลส เมื่อหมดกิเลสแล้ว ย่อมได้ฤทธิ์มาพร้อมกัน ที่เรียกว่า "ปฏิสัมภิทา" หรือ "ญาณ" เมื่อมีสิ่งนี้แล้ว ก็เป็นผู้เหนือมนุษย์ คือสามารถกระทำสิ่งที่มนุษย์ธรรมดาไม่สามารถทำได้ เป็นต้นว่า หูทิพย์ ตาทิพย์ เหาะเหินเดินอากาศ ท่องไปในที่ต่างๆ ทั้งสวรรค์ นรก หรือแม้แต่จักรวาลอื่นๆ ก็ล้วนสามารถทำได้ แต่มนุษย์ธรรมดาอย่างเราๆ ไม่มีทางทำได้เลย พระุทธเจ้าตรัสไว้ว่า การที่เราจะไปให้สุดโลกได้นั้น เราไม่สามารถไปได้ด้วย "ยาน" (ยาพาหนะ) แต่เราไปด้วย "ญาณ" ยานประเภทนี้ไม่ต้องอาศัยร่างกาย เชื้อเพลิง อาหาร เพราะมันเป็นแค่ดวงจิต คิดแล้วก็ไปถึงที่หมายได้ในทันที เพราะจิตนี้รวดเร็วยิ่งนัก
พระพุทธเจ้าได้ชี้ทางให้กับมนุษย์เราไว้แล้ว เกี่ยวกับหนทางแห่งความหลุดพ้น หนทางที่เราจะหมดสิ้นความสงสัยเกี่ยวกับโลกและจักรวาลนี้ การที่เรายังต้องเกิดอีกนับครั้งไม่ถ้วน เป็นเพราะเรายังสงสัย ยังเสียดาย ยังอยากลิ้มลอง และยังยึดติดอยู่ ทำให้เราไม่พ้นจากโลกเสียที ผู้ที่ก้าวล่วงความสงสัยได้แล้วย่อมไม่มาเกิดอีก และเหมือนว่าจะมีแค่เส้นทางนี้เส้นทางเดียวจริงๆ ที่ช่วยให้ชาตินี้ของเรา เป็นชาติเดียวที่ได้รู้และสัมผัสในสิ่งที่มนุษย์อันมากอยากรู้แต่ยังไม่รู้ เส้นทางนี้ผมเชื่ออย่างมั่นใจว่ามันมีอยู่จริง คุณต้องบรรลุคุณวิเศษ อรหันตผล เท่านั้น ถึงมันจะยากเย็น แต่ก็มีทางเป็นได้หากตั้งใจจริง พระนิพพานมีอยู่เสมอสำหรับผู้มีความเพียร
ฝากไว้ก่อนจาก พระพุทธเจ้าสอนเราทุกคนว่า อย่าไปรู้เรื่องอื่นนอกกายเลย ให้เราศึกษาสิ่งที่อยู่ในตัวเราเถิด นั่นคือ "จิตใจ" เมื่อเรารู้จิตใจเราดีแล้ว ควบคุมมันได้แล้ว เมื่อนั้นสิ่งต่างๆรอบกายจะปรากฏให้ท่านเห็นเอง (ปัญญา) โดยที่ไม่ต้องไปดิ้นรนเสาะหาคำตอบเลย อย่าลืมว่าคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นเป็นแค่ใบไม้กำมือนึงจากป่าใหญ่ ยังมีอีกมากมายที่พระองค์ยังไม่ได้บอกพวกเรา ถ้าเราอยากรู้นอกเหนือจากที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ ก็จงพยายามด้วยตนเองเถิด
ท่านใดใคร่จะทราบว่าผมอ้างคำพูด หรือ ความเชื่อมาจากไหน ท่านสามารถเข้าไปฟังได้น่ะครับ ตามลิงค์ด้านล่าง
http://www.fungdham.com/sound/sudjai.html
หัวข้อที่เกี่ยวกับเรื่องนี้
028 จิตนี้เที่ยวไปไกล.mp3
027 จิตนี้ละเอียดยิ่งนัก.mp3
073 เหมือนทางไปของนกในอากาศ.mp3
074 ร่องรอยของผู้สิ้นอาสวะ.mp3
140 ผู้ออกไปจากโลก.mp3 (แนะนำ)
ส่วนคำพูดที่ว่า "ถ้าจะไปให้สุดโลก เราจะต้องไปด้วยจิต" ผมจำไม่ได้แล้วว่าอยู่บทไหน ขอท่านจงใคร่ฟังเอาน่ะครับ
อยากไปให้สุดโลก สุดจักรวาล มีแค่ทางเดียว
ทุกคนทราบดีว่า การที่เราจะเดินทางไปยังดวงดาวอื่น หรือ กาแลคซี่อื่นๆ จะต้องใช้เวลาเนิ่นนานเป็นปีแสง (แสงเดินทางเป็นปีๆ) แล้วหากเราเดินทางด้วยยานอวกาศ แน่นอนว่าเราคงตายก่อนจะไปถึงไหน สำหรับตอนนี้เรื่องแบบนี้เป็นแค่เรื่องเพ้อฝันเท่านั้น เราไม่รู้หรอกว่าอนาคตมนุษย์เราจะพัฒนาไปแค่ไหน แต่คงไม่ใช่ในยุคที่เรายังมีชีวิตอยู่แน่นอน
คิดแล้วก็อดอิจฉาคนในยุคอนาคตไม่ได้ เพราะเค้าคงได้รู้คำตอบที่เราตั้งไว้ในวันนี้ ในขณะที่เราคงตายไปแล้ว คิดแบบนี้แล้ว ผมอยากมีชีวิตที่อมตะเหลือเกิน (เพ้อเจ้อ) มันจะดีไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ ทุกคนเกิดมาแล้ว มีชีวิตอยู่ชั่วระยะเวลานึงเท่านั้น แล้วก็ตายจากไป มันคือสัจธรรมของโลกนี้ เช่นกันกับที่พระพุทธเจ้าได้กล่าวไว้ว่า "โลกคือสนามทดสอบแรงกรรม" การที่เกิดแค่ชาติเดียว คงไม่มีทางเข้าใจในเรื่องกฏแห่งกรรมและการให้ผลของกรรม เช่นเดียวกับที่เราเกิดมาชาติเดียว ยากที่จะรู้เราเข้าใจทุกอย่างในโลกทั้งหมดได้
เรามีร่างกาย ที่พระพุทธเจ้าถือว่าเป็นภาระหนักของชีวิต วันๆนึงเราเสียเวลาไปกับการประคบประหมสังขารนี้มากมาย หิวต้องกิน หนาวต้องห่มผ้า ฯลฯ สารพัดมากมาย และการจะทำอะไรๆก็ต้องอาศัยร่างกายที่ผาสุก ไม่เจ็บป่วย จึงจะทำกิจเหล่านั้นได้สำเร็จ การที่เรามีสังขารนี้ จึงถือเป็นภาระหนักจริงเพียงแต่เราคิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาเพราะเราต้องเจอทุกวันจนชิน
กลับมาเรื่องเดิม การที่เราจะเดินทางไปยังที่ต่างๆให้รวดเร็ว หรือศึกษาสิ่งที่อยากรู้ให้ได้หมดในช่วงที่มีชีวิตอยู่นั้น เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะมันต้องใช้เวลา และมนุษย์เราก็มีอายุขัยไม่มากพอที่จะทำได้ เป็นต้นว่าจะเดินทางไปยังอีกจักรวาลหนึ่ง หรือไปดวงดาวหนึ่งนั้น เป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า "ถ้าจะไปให้สุดโลก เราจะต้องไปด้วยจิต" จิตนี้ละเอียดยิ่งนัก มีปกติปรับเปลี่ยนได้รวดเร็ว เราสามารถคิดสิ่งหนึ่งและคิดอีกสิ่งหนึ่งได้ทันที ยากที่จะควบคุม ใครควบคุมจิตได้นับว่าเลิศ
การควบคุมร่างกายและจิตใจได้ หรือแยกจิตกับร่างกายได้นั้น เป็นคุณสมบัติของพระอริยเจ้า เช่น พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ทั้งหลาย ท่านเหล่านี้คือผู้หลุดพ้นจากกิเลสเครื่องบังตา ทำให้ท่านรู้สิ่งต่างๆในโลกนี้ได้อย่างถูกต้อง หมดความสงสัยในชีวิตอย่างสิ้นเชิง มีคนมากมายไม่เชื่อว่าพระพุทธเจ้าทรงรู้ทุกๆอย่าง และพุทธเจ้าเองก็ไม่ทรงตรัสในสิ่งที่ไร้ประโยชน์ พระองค์ตรัสแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์กับผู้ฟังเท่านั้น พระองค์รู้ดียิ่งนักในเรื่อง "ชีวิตและจิตใจ" สิ่งอื่นนอกเหนือไป ถึงแม้พระองค์ทรงทราบ พระองค์ก็ไม่ทราบตรัสออกไป เพราะรู้ดีว่าไม่มีใครเชื่อ
พระอรหันต์ทั้งหลายล้วนมีคุณสมบัติที่เหมือนกันคือ เป็นผู้พ้นจากกิเลส เมื่อหมดกิเลสแล้ว ย่อมได้ฤทธิ์มาพร้อมกัน ที่เรียกว่า "ปฏิสัมภิทา" หรือ "ญาณ" เมื่อมีสิ่งนี้แล้ว ก็เป็นผู้เหนือมนุษย์ คือสามารถกระทำสิ่งที่มนุษย์ธรรมดาไม่สามารถทำได้ เป็นต้นว่า หูทิพย์ ตาทิพย์ เหาะเหินเดินอากาศ ท่องไปในที่ต่างๆ ทั้งสวรรค์ นรก หรือแม้แต่จักรวาลอื่นๆ ก็ล้วนสามารถทำได้ แต่มนุษย์ธรรมดาอย่างเราๆ ไม่มีทางทำได้เลย พระุทธเจ้าตรัสไว้ว่า การที่เราจะไปให้สุดโลกได้นั้น เราไม่สามารถไปได้ด้วย "ยาน" (ยาพาหนะ) แต่เราไปด้วย "ญาณ" ยานประเภทนี้ไม่ต้องอาศัยร่างกาย เชื้อเพลิง อาหาร เพราะมันเป็นแค่ดวงจิต คิดแล้วก็ไปถึงที่หมายได้ในทันที เพราะจิตนี้รวดเร็วยิ่งนัก
พระพุทธเจ้าได้ชี้ทางให้กับมนุษย์เราไว้แล้ว เกี่ยวกับหนทางแห่งความหลุดพ้น หนทางที่เราจะหมดสิ้นความสงสัยเกี่ยวกับโลกและจักรวาลนี้ การที่เรายังต้องเกิดอีกนับครั้งไม่ถ้วน เป็นเพราะเรายังสงสัย ยังเสียดาย ยังอยากลิ้มลอง และยังยึดติดอยู่ ทำให้เราไม่พ้นจากโลกเสียที ผู้ที่ก้าวล่วงความสงสัยได้แล้วย่อมไม่มาเกิดอีก และเหมือนว่าจะมีแค่เส้นทางนี้เส้นทางเดียวจริงๆ ที่ช่วยให้ชาตินี้ของเรา เป็นชาติเดียวที่ได้รู้และสัมผัสในสิ่งที่มนุษย์อันมากอยากรู้แต่ยังไม่รู้ เส้นทางนี้ผมเชื่ออย่างมั่นใจว่ามันมีอยู่จริง คุณต้องบรรลุคุณวิเศษ อรหันตผล เท่านั้น ถึงมันจะยากเย็น แต่ก็มีทางเป็นได้หากตั้งใจจริง พระนิพพานมีอยู่เสมอสำหรับผู้มีความเพียร
ฝากไว้ก่อนจาก พระพุทธเจ้าสอนเราทุกคนว่า อย่าไปรู้เรื่องอื่นนอกกายเลย ให้เราศึกษาสิ่งที่อยู่ในตัวเราเถิด นั่นคือ "จิตใจ" เมื่อเรารู้จิตใจเราดีแล้ว ควบคุมมันได้แล้ว เมื่อนั้นสิ่งต่างๆรอบกายจะปรากฏให้ท่านเห็นเอง (ปัญญา) โดยที่ไม่ต้องไปดิ้นรนเสาะหาคำตอบเลย อย่าลืมว่าคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นเป็นแค่ใบไม้กำมือนึงจากป่าใหญ่ ยังมีอีกมากมายที่พระองค์ยังไม่ได้บอกพวกเรา ถ้าเราอยากรู้นอกเหนือจากที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ ก็จงพยายามด้วยตนเองเถิด
ท่านใดใคร่จะทราบว่าผมอ้างคำพูด หรือ ความเชื่อมาจากไหน ท่านสามารถเข้าไปฟังได้น่ะครับ ตามลิงค์ด้านล่าง
http://www.fungdham.com/sound/sudjai.html
หัวข้อที่เกี่ยวกับเรื่องนี้
028 จิตนี้เที่ยวไปไกล.mp3
027 จิตนี้ละเอียดยิ่งนัก.mp3
073 เหมือนทางไปของนกในอากาศ.mp3
074 ร่องรอยของผู้สิ้นอาสวะ.mp3
140 ผู้ออกไปจากโลก.mp3 (แนะนำ)
ส่วนคำพูดที่ว่า "ถ้าจะไปให้สุดโลก เราจะต้องไปด้วยจิต" ผมจำไม่ได้แล้วว่าอยู่บทไหน ขอท่านจงใคร่ฟังเอาน่ะครับ